ประวัติ พระจันทร์ฉาย P.K.แสนชัยมวยไทยยิม

ประวัติ พระจันทร์ฉาย P.K.แสนชัยมวยไทยยิม หรือชื่อเดิมเดิมว่า พระจันทร์ฉาย ป.เพชรน้ำทอง ชื่อจริงชื่อว่า นายนนทสิทธิ์ เพชรน้ำทอง ชื่อเล่นชื่อ นนท์ เขาเกิดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2537 ปัจจุบันอายุ 29 ปี มีพี่น้อง 1 คน ซึ่งในวัยเด็กชีวิตของพระจันทร์ฉาย หรือ เจ้านนท์ มีความผูกพันกับมวยไทยมาตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งลุงของเขาเป็นอดีตนักมวยเก่า ชื่อน้องน้อย ศิษย์ป๋าแสน และ สำรวย สักหิรัญชัย เปิดค่ายมวยชื่อสัตว์นิรันดร์ เจ้าตัวเลยคลุกคลีกับมวยมาตั้งแต่เด็กเนื่องจากมีความชอบอยู่แล้วอีกด้วย ซึ่งอายุได้ 5 คน พ่อแม่และลุงของเจ้านนท์ ได้ให้เขาขึ้นชกมวยเป็นครั้งแรก และได้ใช้ชื่อมวยของตัวเองเป็นชื่อจริงว่า นนทสิทธิ์ ศิษย์ผู้ใหญ่จวบ ซึ่งขึ้นชกรังสิตรายการ ศึกอัศวินดำ ซึ่งการชกครั้งแรกของเจ้าตัวปรากฏว่าชนะคะแนนไปแบบขาดลอย ได้ค่าตัวครั้งแรก 100 บาท
ข้อมูลส่วนตัว พระจันทร์ฉาย P.K.แสนชัยมวยไทยยิม

ชื่อจริง :: นาย นนทสิทธิ์ เพชรน้ำทอง
วันเกิด :: 16 ตุลาคม พ.ศ.2537
ถิ่นเกิด :: บางปะกอก จ.กรุงเทพ
สังกัดค่ายมวย :: P.K.แสนชัยมวยไทยยิม
ปัจจุบัน :: ยังไม่แขวนนวม
เส้นทางบนสังเวียนมวยของ พระจันทร์ฉาย P.K.แสนชัยมวยไทยยิม
พระจันทร์ฉาย ใช้ชื่อ นนทสิทธิ์ ขึ้นทุกอยู่ประมาณ 5 ปี จนกระทั่งเขามีอายุ 9 ขวบ จึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นพระจันทร์ฉาย หลังจากครอบครัวพาไปกราบพระบนภูเขา ซึ่งท่านได้ให้ชื่อมงคลมา 2 ชื่อ ชื่อพระจันทร์ฉายและตะวันฉาย เจ้าตัวจึงเรียกชื่อพระจันทร์ฉาย และตะวันฉายลูกของลุงก็ได้ใช้ หลังจากนั้นผ่านมา 3 ปีเจ้าตัวจึงได้เปลี่ยนสังกัดใหม่ชื่อ พระจันทร์ฉาย ป.เพชรน้ำทอง ตามสกุลเดิมของพ่อเขา ด้วยความเก่งกาจของพระจันทร์ฉาย ซึ่งเป็นมวยที่ไอคิว จัดจ้าน และมีความฉลาดอยู่พอตัวเก่าเกม ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของแฟนมวยอีกด้วย จากเริ่มต้นชกที่ 11 อัศวินดำ จนกระทั่งมีชื่อในฐานะมวยเด็กแนวหน้าของไทยในยุคนั้น ซึ่งได้ฉายาเจ้าพ่อมวยเด็ก จึงได้ไปต่อยที่ศึกดาวรุ่งเพชรสุภาพรรณ ได้ประมาณ 2-3 ปี เกิดประเด็นดราม่าเกี่ยวกับการเดิมพันของคู่ชก จึงตัดสินใจ และได้เป็นส่วนหนึ่งของชุดทารกเงินล้าน และได้โปรโมเตอร์แนวหน้ามือทองสมองเพชรปลุกปั้นจนมีชื่อเสียงโด่งดัง จากมวยที่เป็นคู่ประกอบรายการ ได้ถูกจัดลิ้นมาเป็นคู่เอกและเป็นคู่ชกสำคัญ ชนิดที่แฟนมวยรอดูกันถ้วนหน้า ซึ่งเวลาต่อมา เจ้าตัวได้มีโอกาสจริงเข็มขัดแชมป์เส้นแรก เมื่ออายุ 16 ปี และด้วยความจริงของเขาจึงคว้าแชมป์เวทีราชดำเนิน รุ่น 105 ปอนด์ อยู่ 2 สมัย และไฟต์แรกพระจันทร์ฉายขึ้นชกกับ วันฉลอง P.K.แสนชัยมวยไทยยิม ที่สนามมวยลุมพินี เมื่อปี 2556 ซึ่งเสี่ยแขก ได้เห็นฟอร์มการชกและถูกใจเป็นอย่างมาก จึงชักชวนให้มาฟิตซ้อมอยู่ที่ค่ายด้วยกัน และเจ้านนท์ ได้เห็นเพื่อนซี้อย่างปกรณ์ ซ้อมอยู่ที่ค่าย PK ของเสี่ยแขกอยู่แล้ว จึงได้ตัดสินใจเข้าร่วมค่ายเสียแขกแบบไม่ลังเลและฟิตซ้อมอยู่ที่นั่นมาจนถึงปัจจุบัน จากนั้นเจ้าตัวก็โชว์ฟอร์มเก่งแบบเต็มที่และได้แชมป์หลายรุ่น ได้แก่ แชมป์ลุมพินี รุ่น 118 ปอนด์ รุ่น 122 ปอนด์ และ แชมป์ราชดำเนิน รุ่น 112 ปอนด์ รุ่น 115 ปอนด์ เป็นต้น
เส้นทางมวยสากลของ พระจันทร์ฉาย P.K. แสนชัยมวยไทยยิม

ซึ่งเจ้านนท์ ยังไม่ได้เก่งแค่ชกมวยไทยแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในปี 2561 ได้เข้าตาสมาคมมวยสากลสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ซึ่งอยู่ในช่วงกำลังค้นหานักมวยฝีมือคัดตัวเป็นขุนพลมวยสากลแห่งชาติไทย เตรียมไปโอลิมปิกปี 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น และพระจันทร์ฉายก็ได้เข้าตากรรมการการคัดเลือกครั้งนี้ จึงได้เข้าแคมป์เก็บตัวฝึกซ้อมกับทีมชาติอยู่ประมาณ 2 ปี
ด้วยสาเหตุหลายอย่าง บวกกับเจ้าตัวไม่ชอบทางนี้อีกด้วย จึงได้ตัดสินใจกลับไปชกมวยไทยแบบ 5 ยก แต่ ณ.เวลานั้น มีรายการ The Fighter ซึ่งต้องการมวยแม่เหล็กเพื่อสร้างเรตติ้งให้กับศึก แต่ด้วยความเก่งของเจ้านนท์พระจันทร์ฉาย จึงหาคู่ชกที่สูสีและเหมาะสมไม่ได้อีกเช่นเคย จึงหวนกลับมาชกมวยสากลอีกรอบ และการตัดสินใจกลับมาชกมวยสากลอาชีพในครั้งนี้ของพระจันทร์ฉาย ไม่ได้แค่มาเล่นๆ ซึ่งเจ้าตัวได้เอาจริงเอาจังกับทุกไฟ ถึงแม้จะเป็นการชกมวยสากลครั้งแรก ด้วยดีกรีของเจ้าตัวที่สั่งสมเกี่ยวกับมวยมานาน จึงได้โอกาสชิงแชมป์ WBA Asia South รุ่นเฟเธอร์เวต 126. ปอนด์ ซึ่งวันนั้นทำได้ดีเกินกว่าที่คาดไว้ ซึ่งเจ้าตัว เอาชนะคะแนน อานนท์ อยู่ปราง ซึ่งเป็นอดีตเพื่อนทีมชาติไทยที่เก็บตัวอยู่ด้วยกัน ไปแบบฟอร์มสวยงามและขาดลอยแบบหน้าแปลกใจ หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ได้สละแคมป์ และได้ลดน้ำหนัก ไปชกในอีกรุ่นในพิกัดที่เล็กลง ก่อนจะได้โอกาสชิงแชมป์เส้นที่ 2 WBA Asia South รุ่นแบนตั้มเวต 118 ปอนด์ ซึ่งเป็นอีกครั้งที่เจ้าตัวเอาชนะคะแนนอดีตแชมป์โลก WBC คมพยัคฆ์ ที.ซี.มวยไทย รุ่นพี่ได้อย่างสวยงาม จึงถูกคาดหมายให้เป็นนักมวยคนหนึ่งที่มีความพร้อมและชกมวยไปจนถึงระดับโลก
เส้นทางบนเวที ONE Champpionship พระจันทร์ฉาย พี.เค. แสนชัยมวยไทยยิม

ซึ่งเจ้านนท์ ยังไม่ได้เก่งแค่ชกมวยไทยแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในปี 2561 ได้เข้าตาสมาคมมวยสากลสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ซึ่งอยู่ในช่วงกำลังค้นหานักมวยฝีมือคัดตัวเป็นขุนพลมวยสากลแห่งชาติไทย เตรียมไปโอลิมปิกปี 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น และพระจันทร์ฉายก็ได้เข้าตากรรมการการคัดเลือกครั้งนี้ จึงได้เข้าแคมป์เก็บตัวฝึกซ้อมกับทีมชาติอยู่ประมาณ 2 ปี
ด้วยสาเหตุหลายอย่าง บวกกับเจ้าตัวไม่ชอบทางนี้อีกด้วย จึงได้ตัดสินใจกลับไปชกมวยไทยแบบ 5 ยก แต่ ณ.เวลานั้น มีรายการ The Fighter ซึ่งต้องการมวยแม่เหล็กเพื่อสร้างเรตติ้งให้กับศึก แต่ด้วยความเก่งของเจ้านนท์พระจันทร์ฉาย จึงหาคู่ชกที่สูสีและเหมาะสมไม่ได้อีกเช่นเคย จึงหวนกลับมาชกมวยสากลอีกรอบ และการตัดสินใจกลับมาชกมวยสากลอาชีพในครั้งนี้ของพระจันทร์ฉาย ไม่ได้แค่มาเล่นๆ ซึ่งเจ้าตัวได้เอาจริงเอาจังกับทุกไฟ ถึงแม้จะเป็นการชกมวยสากลครั้งแรก ด้วยดีกรีของเจ้าตัวที่สั่งสมเกี่ยวกับมวยมานาน จึงได้โอกาสชิงแชมป์ WBA Asia South รุ่นเฟเธอร์เวต 126. ปอนด์ ซึ่งวันนั้นทำได้ดีเกินกว่าที่คาดไว้ ซึ่งเจ้าตัว เอาชนะคะแนน อานนท์ อยู่ปราง ซึ่งเป็นอดีตเพื่อนทีมชาติไทยที่เก็บตัวอยู่ด้วยกัน ไปแบบฟอร์มสวยงามและขาดลอยแบบหน้าแปลกใจ หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ได้สละแคมป์ และได้ลดน้ำหนัก ไปชกในอีกรุ่นในพิกัดที่เล็กลง ก่อนจะได้โอกาสชิงแชมป์เส้นที่ 2 WBA Asia South รุ่นแบนตั้มเวต 118 ปอนด์ ซึ่งเป็นอีกครั้งที่เจ้าตัวเอาชนะคะแนนอดีตแชมป์โลก WBC คมพยัคฆ์ ที.ซี.มวยไทย รุ่นพี่ได้อย่างสวยงาม จึงถูกคาดหมายให้เป็นนักมวยคนหนึ่งที่มีความพร้อมและชกมวยไปจนถึงระดับโลก
แชมป์ทั้งหมดของเจ้าตัวในเส้นทางมวย
แชมป์โลก เฉพาะกาล ONE Championship รุ่น สตรอว์เวต
อดีตแชมป์โลก ONE Championship รุ่น สตรอว์เวต
แชมป์ลุมพินี รุ่น 118 ปอนด์
แชมป์ลุมพินี รุ่น 122 ปอนด์
แชมป์ราชดำเนิน รุ่น 112 ปอนด์
แชมป์ราชดำเนิน รุ่น 115 ปอนด์
แชมป์เวทีราชดำเนิน รุ่น 105 ปอนด์
แชมป์ WBA Asia South รุ่นเฟเธอร์เวท 29 สิงหาคม 2563
แชมป์ WBA Asia South รุ่นแบนตัมเวท 31 ตุลาคม 2563
แชมป์ WBA Asia South รุ่นแบนตัมเวท 24 เมษายน 2564